ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 2 เดือน กันยายน 2023

Adobe และบริษัทอื่น ร่วมโครงการสมัครใจของสหรัฐฯ จัดการความเสี่ยงด้าน AI

ทำเนียบขาวแถลงว่า Adobe , IBM , Nvidia และบริษัทอื่น ๆ อีกห้าแห่ง ได้ลงนามในข้อผูกพันโดยสมัครใจของประธานาธิบดี Joe Biden ในการควบคุมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งต้องมีขั้นตอนต่างๆ เช่น การใส่ลายน้ำเนื้อหาที่สร้างโดย AI

ข้อผูกพันดั้งเดิมซึ่งประกาศในเดือนกรกฎาคม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าพลังของ AI จะไม่ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ที่ผิด โดย Google, OpenAI และพันธมิตร OpenAI Microsoft ได้ลงนามในข้อผูกพันแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม

“ประธานาธิบดีมีความชัดเจน ที่จะควบคุมการใช้ประโยชน์ของ AI, จัดการความเสี่ยง และได้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว – รวดเร็วมาก” Jeff Zients หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ “และเรากำลังทำเช่นนั้นโดยร่วมมือกับภาคเอกชนและใช้ทุกวิถีทางที่เราต้องทำเพื่อทำให้สิ่งนี้สำเร็จ”

อีกห้าบริษัทที่ลงนามในข้อผูกพัน ได้แก่ Palantir , Stability, Salesforce , Scale AI และ Cohere

บริษัทอีกหลายแห่งคาดว่าจะเข้าร่วมการประชุมทำเนียบขาวในหัวข้อนี้ ร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ จินา ไรแมน
ข้อผูกพันดังกล่าว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารของ Biden ถูกมองว่าเป็นเพียงมาตรการเบื้องต้น เนื่องจากสภาคองเกรสได้จัดให้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมาย AI แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังไม่มีอะไรที่เป็นส่วนสำคัญที่จะกลายเป็นกฎหมายได้ ขณะที่ทำเนียบขาวได้เร่งดำเนินการในการออกคำสั่งผู้บริหารเกี่ยวกับ AI ไปก่อน

อ้างอิง : https://www.posttoday.com/international-news/699430

นิสิต วิศวฯ จุฬาฯ โชว์ นวัตกรรม AI จับผิดท่านั่ง กันปวดกล้ามเนื้อต้นเหตุออฟฟิศซินโดรม

จากปัญหาการใช้ชีวิต ของหนุ่มสาววัยทำงาน โดยเฉพาะมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ที่จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังได้

ด้วยเหตุนี้ นิสิตทีม Midnightdev Extended จากภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้คิดค้น นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อตรวจจับการนั่งผิดท่า ป้องกันต้นเหตุการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม
นายธนกฤษ สายพันธ์ ตัวแทนกลุ่มนิสิตทีม Midnightdev Extended ผู้คิดค้นนวัตกรรม เปิดเผยว่า การทำงานของนวัตกรรมนี้ เป็นแอปพลิเคชันที่ติดตั้งอยู่หน้าเดสก์ท็อปของคอมพิวเตอร์ เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งาน แอปพลิเคชันก็จะคอยตรวจจับการนั่งของผู้ใช้ผ่านกล้อง เพื่อดูลักษณะการนั่งของผู้ใช้ว่านั่งถูกท่าหรือไม่ เพื่อเก็บข้อมูลและแจ้งเตือนการปรับท่านั่ง อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ในการพาทำกายบริหาร ซึ่งถ้าหากทำครบก็จะสามารถรับรางวัล และนำไปแลกเป็นส่วนลดสำหรับสินค้าและบริการต่างๆ ที่ร่วมกับทางแอปฯ อีกด้วย โดยการทำงานของ เอไอตรวจจับการนั่งผิดท่า ทีมผู้คิดค้นได้นำข้อมูล เกี่ยวกับองศาการนั่งที่ถูกต้อง ตามหลักกายภาพ จากข้อมูลทางการแพทย์มาป้อนข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งหากผู้ใช้นั่งผิดท่า ที่ส่งผลให้ปวดหลัง ก็จะมีการแจ้งเตือนทันที ผลงานนี้จึงเป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม ทำให้ช่วยป้องกันการปวดหลังได้

ผลงานนวัตกรรมดังกล่าว ทางทีมนิสิตผู้คิดค้นใช้ชื่อว่า Offix ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันคอยตรวจจับการนั่งผิดท่า และทำกายบริหารเพื่อป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรม ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้จริง จนโดนใจคณะกรรมการคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากการแข่งขัน Digital Youth Network Thailand ภายใต้งาน HACKA THAILAND 2023 จัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

อ้างอิง : https://mgronline.com/science/detail/9660000082811

Meta กำลังพัฒนา AI ใหม่ ใหญ่และเก่งกว่าเดิม หวังแข่ง GPT-4

บริษัทแม่ของ Facebook อย่าง Meta กำลังพัฒนาโมเดล AI ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเก่งกว่า AI เก่าอย่าง Llama 2 มากถึง 2 เท่า เชื่อสามารถแข่งขันกับ GPT-4 ของ OpenAI ได้

ปัจจุบันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทรงพลังที่สุด สร้างโดยโอเพนเอไอ (OpenAI) ผู้สร้างแชทจีพีที (ChatGPT) แต่มีข่าวว่าบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) อย่างเมต้า (Meta) กำลังพัฒนาโมเดลใหม่ที่เก่งขึ้นเพื่อแข่งขันกับจีพีที-4 (GPT-4) และบาร์ด (Bard: แชทบอทของกูเกิล (Google))

โมเดลใหม่ของเมต้านี้คาดว่าจะเก่งกว่าโมเดลเก่าอย่าง Llama 2 มากถึง 2 เท่า (LLaMa 2 ฝึกฝนด้วยข้อมูล 70,000 ล้านพารามิเตอร์) มีรายงานว่า ทีมที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา ได้รับการคัดเลือกอย่างดีจากหัวเรือใหญ่อย่างมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) โดยมุ่งพัฒนาเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ที่สามารถตอบโต้ได้เหมือนมนุษย์ และจะช่วยให้เมต้าสามารถมอบบริการที่ซับซ้อนขึ้นได้ ช่วยในการวิเคราะห์ และผลลัพธ์อื่น ๆ

ปัจจุบันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทรงพลังที่สุด สร้างโดยโอเพนเอไอ (OpenAI) ผู้สร้างแชทจีพีที (ChatGPT) แต่มีข่าวว่าบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) อย่างเมต้า (Meta) กำลังพัฒนาโมเดลใหม่ที่เก่งขึ้นเพื่อแข่งขันกับจีพีที-4 (GPT-4) และบาร์ด (Bard: แชทบอทของกูเกิล (Google))

โมเดลใหม่ของเมต้านี้คาดว่าจะเก่งกว่าโมเดลเก่าอย่าง Llama 2 มากถึง 2 เท่า (LLaMa 2 ฝึกฝนด้วยข้อมูล 70,000 ล้านพารามิเตอร์) มีรายงานว่า ทีมที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา ได้รับการคัดเลือกอย่างดีจากหัวเรือใหญ่อย่างมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) โดยมุ่งพัฒนาเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ที่สามารถตอบโต้ได้เหมือนมนุษย์ และจะช่วยให้เมต้าสามารถมอบบริการที่ซับซ้อนขึ้นได้ ช่วยในการวิเคราะห์ และผลลัพธ์อื่น ๆ

ปัจจุบันบริษัทเทคยักษ์ใหญ่กำลังแข่งขันกันทางด้าน AI ทั้งเมต้า กูเกิล โอเพนเอไอ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอปเปิล (Apple) ในการสร้างเครื่องมือที่ซับซ้อนเหล่านี้ โดยต้องการชิปที่ทรงพลังเพื่อฝึกฝน AI ซึ่งเมต้าอยู่ระหว่างสร้างศูนย์ข้อมูลและนำเอาชิปที่ทรงพลังมากอย่าง NVIDIA H100 มาฝึกฝนโมเดลของพวกเขา

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/155192/

อีกแล้ว? เหล่านักเขียนรวมตัวกันฟ้อง OpenAI ใช้ผลงานเทรน ChatGPT

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า นักเขียนกลุ่มหนึ่งกำลังฟ้องร้อง OpenAI เนื่องจากอ้างว่าบริษัทใช้ผลงานของพวกเขาอย่างผิดกฎหมายเพื่อฝึกแชทบอท AI ChatGPT โดยในการฟ้องร้องเมื่อวันศุกร์ Michael Chabon, David Henry Hwang, Rachel Louise Snyder และ Ayelet Waldman กล่าวหาว่า OpenAI ได้รับประโยชน์และผลกำไรจาก “”การใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและผิดกฎหมาย”” ของเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ของพวกเขา

“การกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ของ OpenAI นั้นเป็นการกระทำโดยเจตนา จงใจ และไม่คำนึงถึงสิทธิของโจทก์และสมาชิกกลุ่ม” คดีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า “OpenAI รู้ตลอดเวลาที่เกี่ยวข้องว่าชุดข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล GPT มีเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ และการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดเงื่อนไขการใช้สิ่งเหล่านั้น”

Chabon ผู้เขียนหนังสือต่างๆ เช่น The Amazing Adventures of Kavalier & Clay เป็นหนึ่งในผู้เขียนกว่า 10,000 คนที่ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ OpenAI, Meta, Google และบริษัทอื่นๆ “ได้รับความยินยอม ให้เครดิต และชดเชยอย่างยุติธรรม” ผู้เขียน” เพื่อใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI

นี่เป็นเพียงกลุ่มผู้เขียนล่าสุดที่ดำเนินการทางกฎหมายกับ OpenAI เกี่ยวกับข้อมูลการฝึกอบรม ในเดือนกรกฎาคม นักเขียนและนักแสดงตลก Sarah Silverman ร่วมกับนักเขียน Christopher Golden และ Richard Kadrey กล่าวหาว่า OpenAI และ Meta ละเมิดลิขสิทธิ์ นอกจากนั้นนักเขียน Paul Tremblay และ Mona Awad ฟ้อง OpenAI ด้วยเหตุผลที่คล้ายกันในเดือนมิถุนายน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/9/11/23869145/writers-sue-openai-chatgpt-copyright-claims

Stability AI เปิดตัว Stable Audio ให้เราสร้างเพลงด้วย AI

Stability AI ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันดีในด้านการสร้างภาพโดย AI ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ที่สร้างข้อความเป็นเสียงที่เรียกว่า Stable Audio โดยใช้โมเดล Diffusion ซึ่งเป็นโมเดล AI เดียวกันกับที่ขับเคลื่อนแพลตฟอร์มรูปภาพยอดนิยมของบริษัท นั่นคือ Stable Diffusion แต่ฝึกด้วยเสียงมากกว่ารูปภาพ ผู้ใช้สามารถใช้มันเพื่อสร้างเพลงหรือเสียงพื้นหลังสำหรับโปรเจกต์ใดก็ได้

โมเดล Audio diffusion ต่างๆนั้นมีแนวโน้มที่จะสร้างความยาวเสียงที่คงที่เท่านั้น ซึ่งส่งผลเสียต่อการผลิตเพลงเนื่องจากเพลงมีความยาวต่างกันไป แต่แพลตฟอร์มใหม่ของ Stability AI ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเสียงที่มีความยาวต่างกัน โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องเทรนโมเดลด้วยเพลงและเพิ่มข้อมูลเมตาของข้อความในช่วงเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของเพลง

Stable Audio จะมีราคาอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ เวอร์ชันฟรีที่ให้ผู้ใช้สร้างเสียงได้สูงสุด 45 วินาทีสำหรับ 20 แทร็กต่อเดือน ระดับมืออาชีพ $11.99 สำหรับ 500 แทร็กที่มีความยาวสูงสุด 90 วินาที และการสมัครสมาชิกแบบ Enterprise ซึ่งบริษัทต่างๆ สามารถปรับแต่งการใช้งานและราคาได้

การสร้างข้อความเป็นเสียงไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากบริษัทอื่นๆ ที่พัฒนา generative AI กำลังเล่นกับแนวคิดนี้ โดย Meta เปิดตัว AudioCraft ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นชุดโมเดล AI เจนเนอเรชั่นที่ช่วยสร้าง ERM เสียง และเพลงที่เป็นธรรมชาติจากข้อความที่เราพิมพ์เข้าไป แต่จนถึงขณะนี้มีให้บริการเฉพาะนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงบางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้นยังมี MusicLM ของ Google ช่วยให้ผู้คนสร้างเสียงได้ แต่ยังใช้ได้สำหรับนักวิจัยเท่านั้นเช่นกัน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/9/13/23871635/stability-ai-generative-audio-model-platform

Google กล่าวโฆษณาทางการเมืองต้อง “เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าใช้ AI” เริ่มพฤศจิกายนนี้

สำนักข่าว Bloomberg รายงาน Google จะเริ่มกำหนดให้ผู้ลงโฆษณาทางการเมือง “เปิดเผยอย่างชัดเจน” เมื่อพวกเขาสร้างโฆษณาด้วย AI ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป โดย Google กล่าวว่าผู้ลงโฆษณาจะต้องเปิดเผยข้อมูลเมื่อโฆษณาเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มี “เนื้อหาสังเคราะห์” ที่แสดงถึง”บุคคลหรือเหตุการณ์ที่ดูสมจริง”

ซึ่งรวมถึงโฆษณาทางการเมืองที่ใช้ AI เพื่อทำให้ใครบางคนดูราวกับว่าพวกเขากำลังพูดหรือทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำ รวมถึงการเปลี่ยนภาพเหตุการณ์จริง (หรือสร้างเหตุการณ์ที่ดูสมจริง) เพื่อสร้างสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น

Google กล่าวว่าโฆษณาประเภทนี้ต้องมีข้อจำกัดความรับผิดชอบในตำแหน่งที่ “ชัดเจนและชัดเจน” โดยจะนำไปใช้กับเนื้อหารูปภาพ วิดีโอ และเสียง ป้ายกำกับจะต้องระบุสิ่งต่างๆ เช่น “เสียงนี้สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์” หรือ “รูปภาพนี้ไม่ได้บรรยายถึงเหตุการณ์จริง” การปรับแต่งที่ “ไม่สำคัญ” ใดๆ เช่น การทำให้รูปภาพสว่างขึ้น การแก้ไขพื้นหลัง หรือการลบตาแดงด้วย AI นั้นไม่จำเป็นต้องมีป้ายกำกับ

แคมเปญทางการเมืองบางแคมเปญกำลังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างโฆษณาอยู่แล้ว ในเดือนเมษายน คณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกันเผยแพร่โฆษณาโจมตีที่มีรูปภาพที่สร้างโดย AI โดยมีเป้าหมายไปที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน นอกจากนั้น Ron DeSantis ผู้ว่าการรัฐฟลอริดายังเผยแพร่โฆษณาโจมตีที่รวมรูปภาพของ Donald Trump และ Anthony Fauci ที่สร้างโดย AI

โฆษณาปลอมเหล่านี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้ร่างกฎหมายบางราย รวมถึงผู้แทน Yvette Clarke (D-NY) ซึ่งแนะนำร่างกฎหมายที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยโฆษณาทางการเมืองที่มีเนื้อหาที่สร้างโดย AI คณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐบาลกลางกำลังพิจารณาข้อจำกัดในโฆษณาเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ใช้ AI

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/9/6/23862172/google-disclaimers-ai-generated-political-ads

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน  8 – 14 กันยายน 2566 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก