ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 2 เดือน ตุลาคม 2023

สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำเพื่อเป็นศูนย์กลางด้าน AI

เมื่อปีที่แล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ร่างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติของประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570 โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวช่วยเพิ่มอันดับของประเทศไทยในดัชนีความพร้อมของรัฐบาลด้าน AI ประจำปี 2565 มาอยู่ที่ 33 จาก 181 ประเทศ และอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม ยังต้องทำมากกว่านี้หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางด้าน AI และเทคโนโลยีในอาเซียน การเตรียมการต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI และเทคโนโลยีอื่นๆ ในประเทศ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลจะต้องผลักดัน 5G เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้อย่างรวดเร็วในทุกส่วนของประเทศ การนำ 5G มาใช้ยังจะสนับสนุนการพัฒนาคลาวด์คอมพิวติ้ง และช่วยสร้างฐานข้อมูลโดยองค์กรภาครัฐและบริษัทเอกชนเพื่อพัฒนา AI ของตนเอง

ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของมนุษย์ด้วย หลักสูตรการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยตามมาตรฐานสากล จะต้องเพิ่มจำนวนอาจารย์ประจำหลักสูตรเหล่านี้ให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงาน ควรลงทุนและออกนโยบายการพัฒนา AI ในท้องถิ่น เพื่อให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้ยังจะกระตุ้นให้นักพัฒนา AI ของไทยสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเตรียมการต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และการยอมรับความสำคัญของ AI อย่างกว้างขวาง หากบริษัทไทยแต่ละแห่งนำนวัตกรรม AI มาใช้ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้าน AI และเทคโนโลยีของอาเซียนได้

ธัชกรณ์ วชิรมน CEO และ Founder บริษัท เซอร์ทิส จำกัด

อ้างอิง : https://asianews.network/what-thailand-needs-to-do-to-become-an-ai-hub/

Adobe เปิดตัว AI เปลี่ยนวิดีโอและ GIF เก่าให้ดูใหม่

Adobe ได้พัฒนาเครื่องมือการ upscaling รูปภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งปรับปรุงคุณภาพของ GIF และฟุตเทจวิดีโอความละเอียดต่ำให้ดีขึ้น โดยโปรเจคนี้มีชื่อว่า “Project Res-Up” ที่ได้ใช้เทคโนโลยี diffusion-based upsampling เพื่อเพิ่มความละเอียดของวิดีโอในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงความคมชัดและรายละเอียดไปพร้อมๆ กัน

ในการเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือนี้สามารถยกระดับความละเอียดของวิดีโอได้อย่างไร โดยทาง Adobe ได้นำคลิปจาก The Red House (1947) และขยายขนาดจาก 480 x 360 เป็น 1280 x 960 ทำให้จำนวนพิกเซลทั้งหมดเพิ่มขึ้น 675 เปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์คือภาพที่ได้มีความคมชัดมากขึ้น โดย AI จะขจัดความพร่ามัวและเพิ่มรายละเอียดใหม่ๆ เช่น เส้นผมและไฮไลท์ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมานั้นยังคงดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ แต่ด้วยคุณภาพวิดีโอเริ่มต้นที่ต่ำ ทำให้มันถือว่าเป็นการพัฒนาที่น่าประทับใจเมื่อเทียบกับเทคโนโลยี TV Shield ของ Nvidia หรือ Video Super Resolution ของ Microsoft

Adobe ยังแสดง Project Res-Up ที่อัปสเกล GIF เพื่อเติมชีวิตชีวาให้กับมีมที่คุณไม่ได้ใช้มาตั้งแต่สมัยของ MySpace

โปรเจ็กต์นี้ถูกเปิดตัวในส่วนของ “Sneaks” ในงาน Adobe Max ซึ่งซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ด้านครีเอทีฟรายนี้ใช้เพื่อแสดงเทคโนโลยีและแนวคิดแห่งอนาคตที่จะนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ของ Adobe ซึ่งหมายถึงความสามารถของมันอาจนำไปใช้ในแอปตัดต่อยอดนิยมอย่าง Adobe Premiere Pro หรือ Express ในอนาคต

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/10/11/23912480/adobe-max-sneak-project-resup-ai-video-upscaling-preview

Adobe สร้างสัญลักษณ์เพื่อสนับสนุนการแท็กเนื้อหาที่สร้างโดย AI

Adobe และบริษัทอื่นๆ ได้สร้างสัญลักษณ์ที่สามารถแนบไปกับเนื้อหาควบคู่ไปกับเมตาดาต้า เพื่อแสดงที่มาของและบ่งบอกว่าได้ถูกสร้างด้วยเครื่องมือ AI หรือไม่

สัญลักษณ์ซึ่ง Adobe เรียกว่า “”ไอคอนแห่งความโปร่งใส”” สามารถเพิ่มได้ผ่านทางแพลตฟอร์มการแก้ไขรูปภาพและวิดีโอของ Adobe เช่น Photoshop หรือ Premiere รวมไปถึง Bing Image Generator ของ Microsoft ด้วย ข้อมูลดังกล่าวจะถูกเพิ่มลงในข้อมูลเมตาของรูปภาพ วิดีโอ และ PDF เพื่อประกาศว่าใครเป็นเจ้าของและสร้างข้อมูล เมื่อผู้ชมดูภาพออนไลน์ พวกเขาสามารถวางเมาส์เหนือเครื่องหมาย และจะเปิดเมนูแบบเลื่อนลงที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ เครื่องมือ AI ที่ใช้สร้างภาพ และรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับการผลิตเนื้อหานั้นขึ้นมา

Adobe พัฒนาสัญลักษณ์ร่วมกับบริษัทอื่นๆ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Coalition for Content Provenance and Authenticity (C2PA) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการสร้างมาตรฐานทางเทคนิคเพื่อรับรองแหล่งที่มาและแหล่งที่มาของเนื้อหา สมาชิกคนอื่นๆ ของ C2PA ได้แก่ Arm, Intel, Microsoft และ Truepic

Adobe กล่าวว่าบริษัทอื่นๆ ใน C2PA จะเริ่มใช้สัญลักษณ์ใหม่นี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตัวอย่างเช่น Microsoft ได้ใช้ลายน้ำดิจิทัลแบบกำหนดเองในเนื้อหาที่สร้างด้วย Bing Image Generator แต่จะใช้ไอคอนใหม่ในไม่ช้า บริษัทและผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์นี้

ก่อนหน้านี้ Google ได้ออกมาสร้างเครื่องหมายเนื้อหาของตัวเองที่เรียกว่า SynthID ซึ่งระบุบางสิ่งที่ AI สร้างขึ้นในข้อมูลเมตาดาต้าของเนื้อหานั้น นอกจากนี้ทาง Digimarc ก็ยังได้เปิดตัวลายน้ำดิจิทัลที่มีข้อมูลลิขสิทธิ์เพื่อติดตามการใช้ข้อมูลในชุดการฝึกอบรม AI เช่นกัน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/10/10/23911381/adobe-ai-generated-content-symbol-watermark

กองทัพอวกาศสหรัฐสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ใช้ AI ชั่วคราวเนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย

US Space Force หรือกองทัพอวกาศสหรัฐสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ใช้ AI ชั่วคราวขณะปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันข้อมูลของรัฐบาลรั่วไหล

สื่อ Bloomberg รายงานเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมว่า เจ้าหน้าที่ของกองทัพอวกาศได้รับแจ้งว่าพวกเขา “ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องมือ AI” ในการสร้างข้อความ, รูปภาพ, และสื่อต่าง ๆ ยกเว้นจะได้รับการอนุมัติเป็นการเฉพาะ โดยในบันทึกของ Space Force Lisa Costa รองหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการอวกาศด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ Space Force กล่าวว่า
“‘Generative AI’ จะปฏิวัติบุคลากรของเราอย่างแน่นอน และเพิ่มสามารถของทีม Guardian ในการทำงานอย่างรวดเร็ว”

อย่างไรก็ตาม เธอได้อ้างถึงข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์และการจัดการข้อมูลในปัจจุบัน โดยอธิบายว่าการนำ AI และ Large language model มาใช้จำเป็นต้องมี “ความรับผิดชอบ” มากขึ้น
US Space Force หรือกองทัพอวกาศสหรัฐเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพสหรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐและพันธมิตรในอวกาศ

สื่อ Bloomberg ระบุว่า นาย Nick Chaillan อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ซอฟต์แวร์ของกองทัพอวกาศคาดการณ์ว่า การตัดสินใจของ Space Force ส่งผลกระทบต่อบุคลากรอย่างน้อย 500 คน ที่ใช้แพลตฟอร์ม AI ที่เรียกว่า “Ask Sage”
นอกจากนี้นาย Chaillan ยังกล่าวว่าการตัดสินใจของ Space Force จะทำให้ประเทศตามหลังจีนไปหลายปี และได้เสริมว่า
“มันเป็นการตัดสินใจที่สิ้นคิดมาก”
นาย Chaillan ตั้งข้อสังเกตว่าทาง U.S. Central Intelligence Agency และหน่วยงานต่าง ๆ อาจกำลังพัฒนาเครื่องมือ Generative AI ของตนเองที่ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูล
ความกังวลว่า Large language model อาจทำข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลสู่สาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลกังวลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
โดยทางอิตาลีได้บล็อก ChatGPT ชั่วคราวในเดือนมีนาคม โดยอ้างว่ามันว่าจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของข้อมูลก่อนที่จะนำกลับมาในเดือนถัดมา
นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Amazon, และ Samsung ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องมือ AI ที่คล้ายกับ ChatGPT ในการทำงาน

อ้างอิง : https://siamblockchain.com/2023/10/13/us-space-force-bans-chat-gpt-ai-tools-security-concerns/

เกาหลีใต้เล็งใช้ AI จับตาพฤติกรรมผู้โดยสารผิดปกติในรถไฟใต้ดินกรุงโซล

กรุงโซลเล็งใช้ระบบ AI ช่วยจับตาพฤติกรรมผู้โดยสารที่ผิดปกติในรถไฟใต้ดิน เพื่อป้องกันเหตุความรุนแรง หลังจากเกิดเหตุคนไล่แทงผู้โดยสาร 2 ครั้งใน 2 เดือน

สำนักข่าวต่างประเทศวันที่ 9 ต.ค. 2566 รายงาน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เปิดแผนพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อใช้สำหรับสังเกตและติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินที่ผิดปกติ รวมถึงเพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายว่าจะสามารถทำให้ระบบเสร็จสิ้นภายในปีนี้ และนำไปใช้งานจริงในปี 2568
หน่วยงานดูแลรถไฟใต้ดินของกรุงโซล ระบุว่า แผนพัฒนานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความกังวลให้กับผู้โดยสารเกี่ยวกับความปลอดภัยบนรถไฟใต้ดิน หลังจากเกิดเหตุการณ์คนไล่แทงผู้โดยสารบนรถไฟใต้ดินสาย 2 เมื่อเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายนที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวมกัน 20 คน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีผู้เคราะห์ร้าย คือความผิดพลาดของสัญญาณเตือนภัยภายในสถานี ทำให้หน่วยงานดูแลรถไฟใต้ดินต้องพัฒนาระบบนี้ขึ้นมา เพื่อป้องกันเหตุการณ์ความรุนแรงต่อผู้ใช้บริการ
โดยวัตถุประสงค์ของระบบ AI นี้ คือการสร้างระบบติดตาม และตรวจจับแบบทันที หรือเรียลไทม์ เพื่อระบุพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้โดยสาร และแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ประจำสถานที เพื่อที่จะสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ทันที หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
เบื้องต้น ระบบดังกล่าวจะทำการทดสอบกับสถานีของรถไฟใต้ดินสาย 5 หากการทดสอบประสบความสำเร็จ ระบบนี้จะถูกนำไปใช้ครอบคลุมรถไฟใต้ดินทุกสาย และทุกสถานีภายในปี 2568.

อ้างอิง : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2731599

Pod Studio บ้านอัจฉริยะสมาร์ทโฮม สุดล้ำสมัย เทคโนโลยี AI ยืดหดไซส์ได้ 3 เท่า

Pod Studio บ้านสมาร์ทโฮมอัจฉริยะที่ใครหลายคนอยากมีไว้สักหลัง ซึ่งพัฒนาโดย Podform บริษัทด้านการออกแบบสัญชาติอเมริกา ซึ่งพอดสตูดิโอมีจุดเด่นที่น่าสนใจคือ “สามารถยืดหดขนาดตัวบ้านได้ถึง 3 เท่า โดยใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น”

Pod Studio เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่จะช่วยให้การสร้างบ้านเป็นเรื่องง่ายๆ คล้ายกับบ้านน็อกดาวน์ ซึ่งบ้านหลังนี้จะมีลักษณะเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ ขนาดยาว 9.2 เมตร สูง 4.9 เมตร กว้าง 2.6 เมตร พื้นที่ใช้สอยโดยรวม 161 ตารางฟุต หรือ 14.9 ตารางเมตร

ภายในบ้านมีทั้งห้องครัว,ห้องนอน, ห้องทำงาน และยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วย ซึ่งด้วยขนาดบ้านที่ไม่ใหญ่มาก และเล็กพอที่จะขนย้ายด้วยรถลากไปยังที่ต่างๆได้ด้วย และ Podform ยังมีบริการ Autonomous Delivery ซึ่งจะขนย้ายตัวบ้านด้วยรถไร้คนขับ

จุดเด่นสำคัญของ Pod Studio คือ สามารถสั่งขยายไซส์ขนาดใหญ่ถึง 454 ตารางฟุต หรือ 42.1 ตารางเมตรได้ภายในเวลาเพียง 15 นาที มีระบบขาไฮดรอลิกในตัวทำให้ไม่ต้องมีเสาเข็มหรือฐานรากใดๆ แค่ขนย้ายบ้านมาวางก็สามารถใช้งานพักอาศัยได้ทันที

Pod Studio มีความแข็งแรงมากด้วยโครงสร้างเหล็กและอะลูมิเนียมที่ช่วยป้องกันลมความเร็วกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงทนไฟได้นานถึง 90 นาที ซึ่งไม่ต้องกังวลหากจะขนย้ายบ้านหลังนี้ไปท่องเที่ยวที่ไหนก็สามารถทำได้

Pod Studio ยังมาพร้อมกับแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดอยู่กับกันสาดตัวบ้านและพอดสตูดิโอยังได้นำเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมที่สามารถควบคุมระบบต่าง ๆในบ้านผ่านแอปพลิเคชันได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำ,ระบบไฟต่างๆของตัวบ้าน ซึ่งยังตัวบ้านยังสามารถอัปเดตเวอร์ชัน Over The Air ได้ด้วย

หากใครกลัวอยู่ใน Pod Studio แล้วไม่ปลอดภัย ก็สบายใจได้เนื่องจากในตัวบ้านมีกล้องวงจรปิดถึง 4 ตัวและประตูที่ล็อคด้วยระบบลายนิ้วมือ (Digital Door Lock) และระบบ AI ที่มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลในตัวบ้าน เช่น น้ำ ไฟฟ้าและอากาศ

ด้วยเทคโนโลยีของตัวบ้านทั้งหมดจะช่วยให้การอยู่อาศัยใน Pod Studio ยังสามารถสั่งการได้ด้วยคำสั่งเสียง เช่น เปิดม่าน, เปิดไฟอัตโนมัติ หรือปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งสะดวกสบายมากๆถ้าเทียบกับบ้านทั่วไปในปัจจุบัน

ขณะนี้ Podform ได้เปิดให้เช่าบ้านหลังนี้ได้ในราคาราวๆ 9,000 บาทต่อคืน แต่ราคาจำหน่ายบ้าน Pod Studio อย่างเป็นทางการยังคงไม่ได้เปิดเผยออกมา

Pod Studio เป็นอีกหนึ่งแนวคิดการสร้างบ้านแห่งอนาคต ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้โครงสร้างต่างๆมากมาย แต่ตัวบ้านกลับเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกได้ครอบคลุมทั้งหมด

เชื่อว่าอนาคตอีกไม่นานบ้านทุกหลังจะต้องมีอุปกรณ์สมาร์ทโฮมไว้ทุกบ้าน เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถทำให้บ้านธรรมดาๆกลายเป็นบ้านอัจฉริยะได้โดยใช้เงินไม่มากแต่ได้ความสะดวกสบายมากขึ้น

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/844205

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน  6 -12 ตุลาคม 2566 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก