ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 4 เดือน กรกฎาคม 2023

7 Big Tech จับมือทำเนียบขาว คุมความปลอดภัย AI

7 บริษัทไอทีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ให้คำมั่นสัญญาโดยสมัครใจกับทำเนียบขาว ความคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายในประเทศ

ความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาก้าวไปอีกขั้น เมื่อ 7 บริษัทชั้นนำด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สัญชาติอเมริกัน ให้คำมั่นสัญญาโดยสมัครใจกับทำเนียบขาวที่จะใช้มาตรการด้านความปลอดภัยต่าง ๆ เพื่อจัดการความเสี่ยงและช่วยให้เทคโนโลยีดังกล่าวปลอดภัยยิ่งขึ้น หลังจากที่ AI มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด และทำให้เกิดความกลัวต่อการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024

โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม บริษัททั้ง 7 ซึ่งประกอบด้วย แอมะซอน (Amazon), แอนโธรพิก (Anthropic), กูเกิล (Google), อินเฟล็กชัน (Inflection), เมตา (Meta), ไมโครซอฟต์ (Microsoft) และโอเพนเอไอ (OpenAI) ได้เข้าร่วมการแถลงครั้งนี้ พร้อมกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ ที่ทำเนียบขาว

ไบเดนกล่าวว่า คำมั่นสัญญานี้เป็นความก้าวหน้าที่ดี แต่ก็ยังมีงานที่ต้องทำร่วมกันอีกมากในอนาคต พร้อมย้ำถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพของเอไอที่อาจถูกใช้ในทางที่ไม่พึงประสงค์ โดยกล่าวว่าจะต้องระแวดระวังเกี่ยวกับภัยคุกคามจากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ ที่อาจส่งผลต่อระบอบประชาธิปไตยและค่านิยมของสหรัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความปลอดภัยของปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ทำเนียบขาวยังกล่าวด้วยว่า เป้าหมายสำคัญคือการช่วยให้ ผู้คนสามารถระบุได้ง่ายขึ้นว่าเนื้อหาออนไลน์ใดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งนี้ แนวทางความปลอดภัยโดยสมัครใจที่บริษัทเทคโนโลยีทั้ง 7 ลงนามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นขั้นตอนไปสู่การสร้างกฎระเบียบเกี่ยวกับ AI ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลก็กําลังดำเนินการเรื่องคําสั่งของประธานาธิบดี (executive order) หรืออำนาจในการสั่งการโดยตรงของผู้นำสหรัฐในประเด็นดังกล่าวด้วยเช่นกัน และจะทํางานร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างกรอบการทํางานระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการพัฒนาและการใช้ AI ท่ามกลางความกังวลว่ามันอาจโตเร็วเกินควบคุมจนเป็นอันตรายต่อสังคมและมนุษยชาติ

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/151873/

Apple กำลังซุ่มทดสอบ-พัฒนา “AppleGPT” แชทบอท AI ตัวใหม่ในอนาคต

Apple กำลังพัฒนาแชทบอท AI ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า AppleGPT ซึ่งเดิมทีแอปเปิลมี Siri อยู่แล้ว แต่ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานมากพอ ทางแอปเปิลจึงกำลังพัฒนา AI Chatbot ใหม่ขึ้นมาใช้กับผลิตภัณฑ์ในอนาคต

Apple กำลังพัฒนาแชทบอท AI ที่มีชื่อว่า AppleGPT โดย Mark Gurman นักข่าวสายแอปเปิลคนดังแห่ง Bloomberg เผยว่า Apple กำลังพัฒนา “Ajax” โมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งวิศวกรบางคนเรียกว่า “AppleGPT” ซึ่งอย่างไรก็ตามทางแอปเปิลยังไม่มีแผนกกลยุทธ์และแผนเปิดตัวในตอนนี้
“Ajax” สร้างขึ้นจากเฟรมเวิร์ก Machine learning ที่เรียกว่า “Jax” ของ Google ที่ทำงานอยู่บน Google Cloud ในตอนนี้ ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่า Apple พิจารณาเซ็นสัญญากับ OpenAI (บริษัทผู้สร้าง ChatGPT) และทดลองใช้เทคโนโลยีของ OpenAI สำหรับทีมในองค์กร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามข่าว

Apple มีทีมงานหลายทีมที่ทำงานเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และพยายามแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว แต่ถึงแม้จะมีผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri อยู่แล้ว แต่ Apple ตั้งเป้าให้ความเป็นส่วนตัวมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนฟังก์ชันการทำงานเป็นเรื่องรองลงมา และ AppleGPT อาจมาตอบโจทย์ผู้ใช้ได้มากกว่า Siri

Apple เคยได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข้อบกพร่องของ ‌Siri‌ ที่อาจไม่ลื่นไหลหรือเป็นธรรมชาติเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแชทบอทอย่างกูเกิล,ไมโครซอฟต์,ซัมซุง,แอมะซอน และอื่นๆอีกมากมาย
แต่ด้าน Tim Cook ก็ได้ออกมากล่าวว่า AI เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาและรอบคอบในการพัฒนา ส่วนในมุมมองบริษัท มองว่า AI นั้นยิ่งใหญ่ และกำลังวางแผนที่จะใช้ AI สานต่อในผลิตภัณฑ์ต่อไปอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตามยังไม่มีข่าวว่า Apple จะเปิดตัวแชทบอทหรือ AppleGPT ออกมาตอนไหน ซึ่งไม่แน่ว่าปี 2024 อาจได้เห็นความคืบหน้าของแชทบอทตัวนี้ในการนำมาพัฒนากับระบบปฏิบัติการต่างๆของแอปเปิล และไม่แน่ AppleGPT อาจถูกนำมาใช้ใน iOS หรือระบบปฏิบัติการ MacOS อื่นๆด้วย ซึ่ง Siri อาจฉลาดขึ้นด้วยจากการใช้ AI ก็เป็นได้

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/841479

สหรัฐ เริ่มใช้ AI ตรวจจับผู้โดยสารไม่ยอมจ่ายเงินซื้อตั๋วe

สถานีรถไฟในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ นำเอไอเข้าช่วยตรวจจับผู้โดยสาร ‘แอบเนียน’ ไม่จ่ายค่าตั๋ว เริ่มใช้แล้ว 7 เมือง และวางแผนนำร่องใช้เอไอตรวจจับอีก 30 เมืองภายในสิ้นปี 2566 นี้

บริการรถไฟใต้ดินประจำนครนิวยอร์ก (Metropolitan Transportation Authority หรือ MTA) ในประเทศสหรัฐ ประสบปัญหาผู้โดยสาร ‘ลักไก่’ ไม่ยอมจ่ายเงินซื้อตั๋ว ทำให้ในเดือนพ.ค. 2566 สูญเสียรายได้เกือบ 700 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.39 หมื่นล้านบาท)
ดังนั้น ทาง MTA จึงนำเอไอเข้ามาประยุกต์ใช้ตรวจจับผู้โดยสารที่ไม่ซื้อตั๋ว เพื่อติดตามและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

เอไอดังกล่าวถูกพัฒนาโดย AWAAIT บริษัทซอฟต์แวร์จากประเทศสเปน ซึ่งก่อนหน้าได้นำมาใช้กับเครือข่ายรถไฟใต้ดินของเมืองบาร์เซโลนา และในปัจจุบันได้นำมาใช้กับสถานีรถไฟใต้ดิน 7 แห่งของนิวยอร์ก
การทำงานของเอไอสามารถช่วยเช็กผู้โดยสารที่มีทั้งชำระ และไม่ชำระค่าตั๋ว และติดตามผลตลอด 24 ชั่วโมง โดยผลออกมาว่า มีผู้โดยสารไม่จ่ายค่าตั๋วมากที่สุดช่วงเวลาบ่าย 3 ถึง 4 โมงเย็น

นอกจากช่วงเวลาแล้ว ยังมีข้อมูลพฤติกรรมแอบเนียน โดยพบกว่า 50% ของผู้คนเดินผ่านประตูฉุกเฉินไปเฉยๆ อีก 20% กระโดดหรือปีนข้ามประตูหมุน 16% แอบลอดช่องว่างของประตู และสุดท้าย 12% มุดเข้าใต้ประตูหมุน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทางสถานีรถไฟจัดการบริหารและวางแผนได้ง่ายขึ้น เช่น การให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบทางเข้าในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้เฝ้าได้ตรงจุดตรงเวลา
การหลบเลี่ยงไม่จ่ายค่าโดยสารทำให้ระบบขนส่งสาธารณะผันผวน ทั้งนี้ ทาง MTA ก็กำลังวางแผนการนำเอไอไปใช้กับสถานีรถไฟใต้ดินอีก 30 แห่งในสหรัฐ ภายในสิ้นปี 2566 นี้

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/tech/innovation/1080588

Netflix เผยค่าจ้างพนักงานด้าน AI ค่าเหนื่อย 3,500 เหรียญต่อวัน แต่นักแสดงได้แค่ 200 เหรียญ

ในขณะที่สมาพันธ์นักเขียนแห่งอเมริกา (WGA) และสมาพันธ์ศิลปินโทรทัศน์และวิทยุแห่งอเมริกา (SAG-AFTRA) กำลังประท้วงสตูดิโอฮอลลีวูดเพื่อกำหนดค่าแรงที่เป็นธรรมมากขึ้น และกำหนดมาตรการการนำ AI มาใช้ในกระบวนการสร้างภาพยนตร์ที่มีความชัดเจนมากขึ้น

ล่าสุด Netflix ได้สวนกระแสด้วยการโพสต์จ้างงานในตำแหน่งงานใหม่อย่าง ผู้จัดการผลิตภัณฑ์แพลตฟอร์ม Machine Learning ซึ่งมีค่าจ้างรายปีตั้งแต่ 300,000 เหรียญ ถึง 900,000 เหรียญ ต่อการจ้าง 1 ครั้ง ซึ่งถ้าหากคิดเป็นรายได้รายวันนั้นจะสูงสุดที่ 3,500 เหรียญ ในขณะที่นักแสดงนั้นมีค่าจ้างอยู่ที่ประมาณ 200 ต่อวันเท่านั้น (อ้างอิงจากอัตราค่าจ้างตามสัญญาที่ SAG-AFTRA กำหนด)

ตำแหน่งดังกล่าวจะรับผิดชอบการสร้างความบันเทิงในอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดการประท้วงจากทั้ง 2 สมาพันธ์ ในตอนนี้ Netflix ได้ระบุว่า ตำแหน่งนี้จะเกี่ยวข้องการใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการพัฒนาอัลกอริทึมใหม่สำหรับแนะนำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทางบริษัทยังมีความพยายามนำ AI มาใช้ในทุกภาคส่วนของธุรกิจมากขึ้น Netflix ยังมีความประสงค์จ้างงานในตำแหน่ง ผู้อำนวยการด้านเทคนิค เพื่อสร้าง AI สำหรับสตูดิโอเกมของตน ซึ่งมีค่าจ้างรายปีสูงสุดถึง 650,000 เหรียญ โดยจะใช้ในการพัฒนาเนื้อหาต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

อ้างอิง : https://news.trueid.net/detail/7JeO9k2NOAPK

“เบเนสเซ” จ่อเปิดตัว AI ช่วยนักเรียนประถมญี่ปุ่นทำวิจัยปิดเทอมฤดูร้อน

เบเนสเซระบุในการแถลงข่าวล่าสุดว่า บริการดังกล่าว ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านทางเว็บไซต์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ปกครอง จะเป็นการให้คำแนะนำและบอกเคล็ดลับต่าง ๆ เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถค้นหาหัวข้อการวิจัยและรวบรวมข้อมูลได้ บริษัทระบุว่า AI จะไม่ตอบคำถามโดยตรง แต่จะเป็นการให้คำแนะนำแทน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้งานถามว่า “ฉันจะศึกษาชีววิทยาของไดโนเสาร์ได้อย่างไร” AI จะแนะนำว่า “ทำไมไม่ลองค้นหาว่าไดโนเสาร์กินอะไรดูล่ะ”

บริษัทระบุว่า บริการนี้ถูกปรับให้เข้ากับแนวปฏิบัติด้านการศึกษาของรัฐที่จำกัดการใช้งานเทคโนโลยีในโรงเรียน และไม่สามารถใช้ในการเขียนรายงานได้ แม้จะถูกขอให้ทำเช่นนั้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม มันจะช่วยให้คำแนะนำในการเขียนรายงานแทน นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการคิดด้วยตัวเองของเด็กนักเรียน บริการดังกล่าวยังจำกัดจำนวนครั้งในการถามต่อวัน และข้อมูลที่นักเรียนป้อนเข้ามาจะไม่สามารถถูกใช้เพื่อตอบคำถามของนักเรียนคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย

บริษัทระบุว่า เนื่องจากบริการนี้มีจุดประสงค์เพื่อการใช้งานโดยนักเรียนที่มีพ่อแม่หรือผู้ปกครองคอยดูแล ดังนั้นบริการดังกล่าวจึงสามารถเข้าถึงได้หลังจากได้รับความยินยอมผ่านทางอีเมลเท่านั้น ซึ่งบริการนี้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-11 ก.ย. ทั้งนี้ บริการดังกล่าวได้รับการพัฒนาจาก AI ที่ได้รับมาจากไมโครซอฟท์

อ้างอิง : https://www.infoquest.co.th/2023/320426

แม้แต่ OpenAI ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าข้อความต่างๆ ถูกเขียนขึ้นโดย AI ?

OpenAI ทำการปิดให้บริการเครื่องมือที่ตรวจสอบการเขียนว่ามาจาก AI หรือไม่ เนื่องจากอัตราความแม่นยำที่ โดย OpenAI กล่าวว่าได้ตัดสินใจยุติการให้บริการ ในวันที่ 20 กรกฎาคม “”เรากำลังทำงานเพื่อรวมข้อเสนอแนะและกำลังค้นคว้าเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับแยกแยะข้อความ”” ทางบริษัทกล่าว

OpenAI ยอมรับอย่างเต็มที่ว่าตัวแยกประเภทนั้นไม่เคยเก่งในการจับข้อความที่สร้างโดย AI และเตือนว่ามันอาจให้ผลที่ไม่ถูกต้องออกมา (false positives) หรือที่เรียกกันว่าข้อความที่เขียนโดยมนุษย์ซึ่งถูกแท็กว่าสร้างโดย AI โดย OpenAI ก่อนที่จะเพิ่มการอัปเดตและปิดเครื่องมือ กล่าวว่าตัวแยกประเภทสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยข้อมูลที่มากขึ้น

หลังจากที่ ChatGPT ของ OpenAI แพร่หลายและกลายเป็นหนึ่งในแอปที่เติบโตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลายภาคส่วนสร้างความตื่นตระหนกเกี่ยวกับข้อความและงานศิลปะที่สร้างโดย AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการศึกษาที่กังวลว่านักเรียนจะไม่เรียนอีกต่อไปและปล่อยให้ ChatGPT เขียนการบ้าน โรงเรียนในนิวยอร์กถึงกับแบนการเข้าถึง ChatGPT ในบริเวณโรงเรียน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความถูกต้อง ความปลอดภัย และการโกง

OpenAI เพิ่งสูญเสียผู้นำด้านความไว้วางใจและความปลอดภัยในช่วงเวลาที่ Federal Trade Commission กำลังตรวจสอบ OpenAI อย่างไรก็ตาม OpenAI กล่าวว่ามีแผนที่จะ “พัฒนาและปรับใช้กลไกที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจว่าเนื้อหาเสียงหรือภาพนั้นสร้างโดย AI” ยังไม่มีคำอธิบายว่ากลไกเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/7/25/23807487/openai-ai-generated-low-accuracy

Bing AI กำลังจะมาใน Google Chrome และ Safari

Caitlin Roulston ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของ Microsoft กล่าวในแถลงการณ์ต่อ The Verge ว่า “เรากำลังบินเข้าสู่ Bing Chat ใน Safari และ Chrome เพื่อเลือกผู้ใช้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบของเราบนเบราว์เซอร์อื่น” “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะขยายการใช้งานของเราไปยังผู้ใช้มากยิ่งขึ้นเมื่อขั้นตอนการทดสอบของเราเสร็จสมบูรณ์”

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีข้อจำกัดบางประการในการใช้ Bing Chat บน Chrome และ Safari อย่างแรก คุณสามารถพิมพ์พรอมต์ได้เพียง 2,000 คำ ซึ่งต่างจากขีดจำกัด 4,000 คำที่คุณได้รับเมื่อใช้ Bing Chat บน Edge การสนทนาของคุณกับแชทบอทจะถูกรีเซตหลังจากผ่านไป 5 รอบ แทนที่จะเป็น 30 รอบ และนอกจากนั้นคุณจะเห็นป๊อปอัปน่ารำคาญที่แจ้งให้คุณดาวน์โหลด Edge

จนถึงตอนนี้ Microsoft เปิดให้แชทบอทใช้งานได้บน Edge เท่านั้น ซึ่งค่อนข้างไม่สะดวกหากคุณต้องการเข้าถึงเครื่องมือบนเบราว์เซอร์อื่น และในขณะที่คุณใช้ Bard chatbot ของ Google บนเบราว์เซอร์อื่นที่ไม่ใช่ Chrome คุณจะเห็นข้อความแจ้งให้เปรียบเทียบคำตอบของคุณกับ Bing เมื่อใช้ Bard บนเบราว์เซอร์ Edge

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/7/24/23805493/bing-ai-chat-google-chrome-safari

“Llama 2” การเปิดตัว AI ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ ChatGPT

Meta ซึ่งเดิมชื่อ Facebook ได้สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในแวดวง AI ด้วยการเปิดตัวโมเดล Llama เจนเนอเรชั่นที่สอง โมเดลนี้โอเพ่นซอร์สนี้ได้รับความสนใจจากชุมชน AI อย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า Llama 2 เป็นการเปิดตัว AI ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ ChatGPT ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของการพัฒนา AI

การเปิดตัว Llama 2 มีความหมายสำหรับบริษัทที่ต้องการสร้างแชทบอท AI ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมตามที่ตัวเองต้องการได้ ด้วยโมเดลนี้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างบอทตามความต้องการโดยใช้ข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและมีประโยชน์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Stripe เพิ่งเปิดตัวบอท AI ภายในสำหรับพนักงาน โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ความก้าวหน้านี้แสดงถึงความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้นในอุตสาหกรรม AI.

อย่างไรก็ตามแม้ว่า Meta จะวางตำแหน่งโมเดลให้สามารถเข้าถึงได้โดยอิสระ แต่ก็ไม่ได้เป็นโอเพ่นซอร์สทางเทคนิคเนื่องจากข้อจำกัดด้านสิทธิ์การใช้งาน ความแตกต่างนี้ทำให้เกิดคำถามและข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัย

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/7/21/23803234/the-biggest-ai-release-since-chatgpt

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน  21 – 27 กรกฎาคม 2566 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก